วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ความรู้เกี่ยวกับภาษาซี

ความรู้เกี่ยวกับภาษาซี

ภาษาซี คืออะไร

               ภาษาซี (C) เป็นภาษาโปรแกรมสำหรับวัตถุประสงค์ทั่วไป เริ่มพัฒนาขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2512-2516 (ค.ศ. 1969-1973) โดยเดนนิสริชชี่ (Denis Retchie) ที่เอทีแอนด์ทีเบลล์แล็บส์ (AT&T Bell Labs) [4][5] ภาษาซีมีเครื่องมืออำนวยความสะดวกสำหรับการเขียนโปรแกรมเชิงโครงสร้างและอนุญาตให้มีขอบข่ายตัวแปร (scope) และการเรียกซ้ำ (recursion) ในขณะที่ระบบชนิดตัวแปรอพลวัตก็ช่วยป้องกันการดำเนินการที่ไม่ตั้งใจหลายอย่าง เหมือนกับภาษาโปรแกรมเชิงคำสั่งส่วนใหญ่ในแบบแผนของภาษาอัลกอล การออกแบบของภาษาซีมีคอนสตรักต์ (construct) ที่โยงกับชุดคำสั่งเครื่องทั่วไปได้อย่างพอเพียง จึงทำให้ยังมีการใช้ในโปรแกรมประยุกต์ซึ่งแต่ก่อนลงรหัสเป็นภาษาแอสเซมบลี คือซอฟต์แวร์ระบบอันโดดเด่นอย่างระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ยูนิกซ์

              ภาษาซีเป็นภาษาโปรแกรมหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดตลอดกาล และตัวแปลโปรแกรมของภาษาซีมีให้ใช้งานได้สำหรับสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์และระบบปฏิบัติการต่าง ๆ เป็นส่วนมาก

              ภาษาหลายภาษาในยุคหลังได้หยิบยืมภาษาซีไปใช้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตัวอย่างเช่น ภาษาดี ภาษาโก ภาษารัสต์ ภาษาจาวา จาวาสคริปต์ ภาษาลิมโบ ภาษาแอลพีซี ภาษาซีชาร์ปภาษาอ็อบเจกทีฟ-ซี ภาษาเพิร์ล ภาษาพีเอชพี ภาษาไพทอน ภาษาเวอริล็อก (ภาษาพรรณนาฮาร์ดแวร์) และซีเชลล์ของยูนิกซ์ ภาษาเหล่านี้ได้ดึงโครงสร้างการควบคุมและคุณลักษณะพื้นฐานอื่น ๆ มาจากภาษาซี ส่วนใหญ่มีวากยสัมพันธ์คล้ายคลึงกับภาษาซีเป็นอย่างมากโดยรวม (ยกเว้นภาษาไพทอนที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง) และตั้งใจที่จะผสานนิพจน์และข้อความสั่งที่จำแนกได้ของวากยสัมพันธ์ของภาษาซี ด้วยระบบชนิดตัวแปร ตัวแบบข้อมูล และอรรถศาสตร์ที่อาจแตกต่างกันโดยมูลฐาน ภาษาซีพลัสพลัสและภาษาอ็อบเจกทีฟ-ซีเดิมเกิดขึ้นในฐานะตัวแปลโปรแกรมที่สร้างรหัสภาษาซี ปัจจุบันภาษาซีพลัสพลัสแทบจะเป็นเซตใหญ่ของภาษาซีในขณะที่ภาษาอ็อบเจกทีฟ-ซีก็เป็นเซตใหญ่อันเคร่งครัดของภาษาซี

               ก่อนที่จะมีมาตรฐานภาษาซีอย่างเป็นทางการ ผู้ใช้และผู้พัฒนาต่างก็เชื่อถือในข้อกำหนดอย่างไม่เป็นทางการในหนังสือที่เขียนโดยเดนนิสริตชี และไบรอัน เคอร์นิกัน (Brian Kernighan) ภาษาซีรุ่นนั้นจึงเรียกกันโดยทั่วไปว่า ภาษาเคแอนด์อาร์ซี (K&R C) ต่อมา พ.ศ. 2532 สถาบันมาตรฐานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (ANSI) ได้ตีพิมพ์มาตรฐานสำหรับภาษาซีขึ้นมา เรียกกันว่า ภาษาแอนซีซี (ANSI C) หรือ ภาษาซี89 (C89) ในปีถัดมา องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO) ได้อนุมัติให้ข้อกำหนดเดียวกันนี้เป็นมาตรฐานสากล เรียกกันว่า ภาษาซี90 (C90) ในเวลาต่อมาอีก องค์การฯ ก็ได้เผยแพร่ส่วนขยายมาตรฐานเพื่อรองรับสากลวิวัตน์ (internationalization) เมื่อ พ.ศ. 2538 และมาตรฐานที่ตรวจชำระใหม่เมื่อ พ.ศ. 2542 เรียกกันว่า ภาษาซี99 (C99) มาตรฐานรุ่นปัจจุบันก็ได้รับอนุมัติเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2554 เรียกกันว่า ภาษาซี11 (C11)

ภาษาคอมพิวเตอร์


            ภาษาคอมพิวเตอร์ หมายถึง ภาษาใดๆ ที่ผู้ใช้งานใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ด้วยกัน แล้วคอมพิวเตอร์สามารถทำงานตามคำสั่งนั้นได้ คำนี้มักใช้เรียกแทนภาษาโปรแกรม แต่ความเป็นจริงภาษาโปรแกรมคือส่วนหนึ่งของภาษาคอมพิวเตอร์เท่านั้น และมีภาษาอื่นๆ ที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น HTML เป็นทั้งภาษามาร์กอัปและภาษาคอมพิวเตอร์ด้วย แม้ว่ามันจะไม่ใช่ภาษาโปรแกรม หรือภาษาเครื่องนั้นก็นับเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งโดยทางเทคนิคสามารถใช้ในการเขียนโปรแกรมได้ แต่ก็ไม่จัดว่าเป็นภาษาโปรแกรม
ภาษาคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ ภาษาระดับสูง (high level) และภาษาระดับต่ำ (low level) ภาษาระดับสูงถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานง่ายและสะดวกสบายมากกว่าภาษาระดับต่ำ โปรแกรมที่เขียนถูกต้องตามกฎเกณฑ์และไวยากรณ์ของภาษาจะถูกแปล (compile) ไปเป็นภาษาระดับต่ำเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถนำไปใช้งานหรือปฏิบัติตามคำสั่งได้ต่อไป ซอฟต์แวร์สมัยใหม่ส่วนมากเขียนด้วยภาษาระดับสูง แปลไปเป็นออบเจกต์โค้ด (object code) แล้วเปลี่ยนให้เป็นชุดคำสั่งในภาษาเครื่อง

โปรแกรมภาษาระดับสูง High Level Languages

              หน่วยสำคัญที่สุดของคอมพิวเตอร์ก็คือ หน่วยประมวลผลหรือที่เรียกกันว่า CPU โดยปกติ CPU จะมีภาษาของตัวเองที่เรียกว่า ภาษาเครื่อง (Machine Language) ซึ่งจะเป็นภาษาที่ประกอบไปด้วยเลขฐานสองมากมาย ดังนั้นการที่จะเขียนโปรแกรมควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ โดยใช้ภาษาเครื่องโดยตรงนั้นจึงทำได้ยาก จึงได้มีการพัฒนาตัวแปรภาษาเครื่องที่เรียกว่า โปรแกรมภาษาระดับสูงขึ้นมา หรือที่เรียกว่า High Level Languages โดยภาษาในระดับสูงเหล่านี้ จะมีลักษณะรูปแบบการเขียน (Syntax) ที่ทำให้เข้าใจได้ง่ายต่อการสื่อสารกับผู้พัฒนา และถูกออกแบบมาให้ง่ายต่อการใช้งาน และจะเปลี่ยนคำสั่งจากผู้ใช้งาน ไปเป็นเป็นภาษาเครื่อง เพื่อที่จะควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ต่อไป


ความแตกต่างระหว่าง Compiler และ Interpreter
Compiler
จะทำการแปลง Source Codes ไปเป็น Machine Codes ครั้งเดียว แล้วค่อย Execute คำสั่ง
ถ้าหากมีการแก้ไข Source Codes จะต้องมีการ Compile Source ใหม่อีกครั้ง
Intepreter
จะทำการแปลง Source Codes ทีละบรรทัด และก็ทำการ Execute ทีละบรรทัด


พื้นฐานความรู้ภาษาซี
โครงสร้างของโปรมแกรมภาซี
ข้อความสั่งตัวประมวลผลก่อน (Preprocessor statements)
ข้อความสั่งตัวประมวลผลก่อนขึ้นต้นด้วยเครื่องหมาย # เช่น
#include <stdio.h>
หมายความว่า ให้ตัวประมวลผลก่อนไปอ่านข้อมูลจากแฟ้ม stdio.hซึ่งเป็นแฟ้มที่มีอยู่ในคลัง เมื่อโปรแกรมมีการใช้ข้อความสั่งอ่านและบันทึก จะต้องใช้ข้อมูลจากแฟ้ม stdio.hข้อความสั่งตัวประมวลผลก่อนจะต้องเขียนไว้ตอนต้นของโปรแกรม

โครงสร้างพื้นฐานของโปรแกรมภาษาซีจะต้องประกอบด้วยโปรแกรมย่อย หรือเรียกว่า
ฟังก์ชัน (function) อย่างน้อย 1 ฟังก์ชัน คือ main() ซึ่งมีรูปแบบดังนี้
ฟังก์ชัน main() ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ
1.ส่วนหัวของฟังก์ชัน
2.ส่วนการประกาศตัวแปร
3.ส่วนคำสั่ง
ข้อความสั่งหมายเหตุ (Comment Statement)
ข้อความสั่งหมายเหตุ คือ ข้อความที่เขียนไว้ภายในโปรแกรม เพื่อใช้อธิบายโปรแกรม
โดยตัวแปลโปรแกรมจะไม่แปลข้อความสั่งหมายเหจุให้เป็นภาษาเครื่อง
การเขียนข้อความสั่งหมายเหตุในโปรแกรมทำได้ 2 แบบ ได้แก่
1.// หมายเหตุ  ใช้เครื่องหมาย // หน้าข้อความหมายเหตุ ใช้ได้กับหมายเหตุที่มีขนาดยาวไม่เกิน 1 บรรทัด
2./*หมายเหตุ*/ เขียนหมายเหตุไว้ระหว่าง /* และ */ ใช้ได้กับหมายเหตุที่มีขนาดความยาวตั้งแต่ 1 บรรทัดขึ้นไป
ตัวแปร
ตัวแปร (Variable) คือ การจองพื้นที่ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์สำหรับเก็บข้อมูลที่ต้องใช้ในการทำงานของโปรแกรม  โดยมีการตั้งชื่อเรียกหน่วยความจำในตำแหน่งนั้นด้วย  เพื่อความสะดวกในการเรียกใช้ข้อมูล  ถ้าจะใช้ข้อมูลใดก็ให้เรียกผ่านชื่อของตัวแปรที่เก็บเอาไว้ สำหรับภาษา C ตามมาตรฐาน ASNI (American National Standards Institute) มีตัวแปรไว้ให้ใช้งานอยู่หลายชนิด แต่ละชนิดจะใช้สำหรับเก็บข้อมูลต่างประเภทกันไป



รูปแบบการประกาศตัวแปรในภาษา


หลักการตั้งชื่อตัวแปรในภาษา C


1. ต้องขึ้นต้นด้วยตัวอักษร A-Z หรือ a-z หรือเครื่องหมาย _(Underscore) เท่านั้น 
2. ภายในชื่อตัวแปรสามารถใช้ตัวอักษร A-Z หรือ a-z หรือตัวเลข0-9 หรือเครื่องหมาย _
3. ภายในชื่อห้ามเว้นช่องว่าง หรือใช้สัญลักษณ์นอกเหนือจากข้อ
4. ตัวอักษรเลขหรือใหญ่มีความหมายแตกต่างกัน
5. ห้ามตั้งชื่อซ้ำกับคำสงวน (Reserved Word) ดังนี้


ตัวคงที่ (Constant)

              ตัวคงที่มีลักษณะคล้ายตัวแปร แตกต่างจากตัวแปรตรงที่ ค่าที่เก็บในตัวคงที่จะคงเดิมไม่มีวันเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งจบโปรแกรม แต่ค่าที่เก็บตัวแปรสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
แสดงผลออกทางหน้าจอ
การทำงานพื้นฐานที่สุดหรือเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานของทุกโปรแกรมก็คือการแสดงผลข้อมูลออกทางหน้าจอ โดยในภาษา C นั้น การแสดงผลข้อมูลออกทางหน้าจอสามารถทำได้ง่าย โดยเรียกใช้คำสั่งหรือฟังก์ชั่นมาตรฐานที่ภาษา C เตรียมไว้ซึ่งมีอยู่หลายคำสั่ง
เป็นฟังก์ชันจากคลัง ที่มาพร้อมกับตัวแปลภาษาซี ใช้สำหรับการแสดงผล มีรูปแบบ ดังนี้




การควบคุมขนาดพื้นที่แสดงผล

วิธีกำหนดขนาดพื้นที่การแสดงผล ให้ใส่ตัวเลขขนาดของพื้นที่ที่ต้องการไว้หลังเครื่องหมาย % ในรหัสควบคุมรูปแบบ  ตัวอย่างเช่น

การแสดงผลตัวเลขทศนิยม ตามปกติถ้าไม่กำหนดค่าใดๆ เพิ่มเติม เมื่อใช้รหัสควบคุมรูปแบบ %f โปรแกรมจะแสดงตัวเลขทศนิยมทั้งหมด 6 ตำแหน่ง ตัวอย่างเช่น

ในกรณีที่เราต้องการตัดให้แสดงตัวเลขหลังจุดทศนิยมเท่าที่จำเป็น ก็สามารถกำหนดค่าเพิ่มไปกับรหัสควบคุมรูปแบบได้


รับข้อมูลจากคีย์บอร์ด

การทำงานของโปรแกรมส่วนใหญ่มักจะเป็นการเชื่อมโยงกับผู้ใช้แบบ 2 ทิศทาง คือ ทั้งภาคของการแสดงผลการทำงานออกทางหน้าจอ และภาคของการรับข้อมูลจากผู้ใช้เข้ามาทางคีย์บอร์ด เพื่อร่วมในการประมวลผลของโปรแกรม ซึ่งในภาคของการรับข้อมูลจากผู้ใช้ ภาษา กำหนดคำสั่งและฟังก์ชั่นมาตรฐานเอาไว้ให้เรียกใช้
ฟังก์ชัน scanf()
เป็นฟังก์ชันจากคลัง ใช้ในการรับข้อมูลจากแป้นพิมพ์ โดยจะบอกเลขที่อยู่ของตัวแปรในหน่วยความจำ แล้วจึงนำค่าที่รับมาไปเก็บไว้ตามที่อยู่นั้น มีรูปแบบ ดังนี้
นิพจน์ (Expressions)
ในภาษาซี นิพจน์หมายถึง สิ่งที่ประมวลผลแล้วสามารถให้เป็นค่าตัวเลขได้ ซึ่งแต่ละนิพจน์จะมีระดับความยากง่ายในการประมวลผลที่แตกต่างกัน 
นิพจน์ที่เป็นค่าคงที่ ที่เป็นสัญลักษณ์
#define VAT 7
#define PI 3.14159
constint a = 35;
const char ch = ‘m’;
นิพจน์ที่มีลักษณะเป็นตัวแปร
int count;
float amount;
charch;
นิพจน์ หมายถึง จำนวนใดจำนวนหนึ่งต่อไปนี้



ข้อความสั่งกำหนดค่า (assignment statement)

ตัวแปร = นิพจน์
ข้อความสั่งกำหนดค่า คือข้อความสั่งที่ใช้สำหรับ สั่งให้นำผลลัพธ์ของนิพจน์ที่อยู่ด้านขวาของตัวดำเนินการเท่ากับ (=)  มาเก็บไว้ในตัวแปรที่อยู่ด้านซ้ายของตัวดำเนินการเท่ากับ (=) เช่น

 การคำนวณทางคณิตศาสตร์
เครื่องหมายการดำเนินการทางคณิตศาสตร์

ลำดับความสำคัญของเครื่องหมาย



ลิงก์ดาวโหลดโปรแกรมภาษาซี

เลือกที่เป็นwindows น่ะค่ะ












วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

5 ตำนานความรักของดอกไม้

5 ตำนานความรักของดอกไม้



1.ดอกซากุระ
        ในแง่ของตำนาน ซากุระเกิดขึ้นมาเพราะเทวนารีองค์หนึ่ง คือโคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะเชื่อกันว่า พระนางเป็นผู้ริเริ่มปลูกซากุระขึ้นเป็นครั้งแรก จึงได้ชื่อตามพระนามของนาง  โคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ เป็นธิดาของโอโฮยามัทซูมิ เทพแห่งภูเขา วันหนึ่งพระนางได้พบเทพนินิงิที่ชายทะเล และตกหลุมรักซึ่ง กันและกัน เทพนินิงิทูลขอเทพโอโฮยามัทซูมิเพื่อขอนางมาเป็นชายา ในตอนแรก เทพโอโฮยามัทซูมิได้เสนอธิดาอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นเทพีแห่งก้อนหินมาเป็นคู่สยุมพรแทน แต่เทพนินิงิไม่ยอม พระองค์ยังยืนกรานในรักมั่นที่มีต่อเทวี แห่งซากุระ ในที่สุดจึงได้วิวาห์ดังที่ปรารถนา หลังอภิเษกได้เพียงวันเดียวเทพีโคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะก็ทรงครรภ์ เทพโอโฮยามัทซูมิทรงคลางแคลงพระทัยว่าบุตรในท้องไปลู กของพระองค์จริงหรือไม่   การที่เทพีโคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ ได้กำเนิดโอรสในกองเพลิงนี่เอง ทำ ให้ชาวบ้านเชื่อกันว่า พระนางควบคุมไฟได้ เลยก็เลยมีการสร้างศาลบูชาพระนางขึ้นที่ตีนภูเขาไฟฟู จิในปี ค.ศ.806 ด้วยความหวังว่า พระนางจะช่วยไม่ให้ภูเขาไฟพิโรธ ทำให้ประชาชนเดือด ร้อน พระนางจึงกลายเป็นเทพีแห่งภูเขาไฟฟูจิด้วย จนถึงทุกวันนี้ ผู้ที่ไปเยือนภูเขาไฟฟูจิมักจะแวะไปศักการะศาลของพระ นางและเชื่อกันอีกอย่าง ว่า เมล็ดพันธุ์ของต้นซากุระที่พระนางนำมาปลูกเป็นครั้งแ รกในญี่ปุ่นนั้น ก็มาจากภูเขาไฟฟูจิซึ่งพระองค์ดูแลอยู่นี่เอง


2.กุหลาบ
          ตำนานของดอกกุหลาบ มีมากมายนี่เป็นหนึ่งในตำนานที่ จขกท.เลือกมาค่ะ เป็นตำนานของโรมัน   กล่าวถึงตำนานของดอกกุหลาบว่า คิวปิดลูกชายของวีนัส เป็นผู้ทำเหล้าองุ่นหกรดดอกกุหลาบหลายดอก  กุหลาบเหล่านั้นจึงมีสีแดง  ส่วนหนามที่แหลมคมของกุหลาบเกิดขึ้นจากความ โกรธเคืองในขณะที่คิวปิดกำลังชื่นชมความหอมของดอกกุหลาบ  กลับ โดนผึ้งต่อย คิวปิดจึงควักธนูมายิงใส่พุ่มกุหลาบทำให้กุหลาบมีหนามที่แหลมคม   
            ตำนานของกรีก: มีตำนานเล่าถึงกำเนิดของดอกกุหลาบ ตามความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าของกรีก ด้วยเช่นกันว่า เมื่อครั้งที่  เทวีแห่งความรักนามว่า...   \" อโฟรไดท์ \" (venus) ถือกำเนิดขึ้นจากท้องทะเล กุหลาบก็ได้ถือกำเนิดขึ้น  จากฟองคลื่นขาวสะอาดที่สาดซัดมาต้อนรับ   การเกิดของอโฟรไดท์ กุหลาบทุกดอกยังคงมีสีขาวบริสุทธิ์ เหมือนตอนที่ถือกำเนิดขึ้นมา จนกระทั่งวันหนึ่ง
อาโดนิสชู้รักคนหนึ่ง  ของอโฟรไดท์ได้รับบาดเจ็บ จนถึงแก่ความตายในการล่าหมูป่า กุหลาบแดงจึงมีขึ้นมาในโลก สีแดงของกุหลาบเกิดจาก     เลือดของชายหนุ่มที่หยดลงไปโดนกุหลาบที่อยู่ใกล้ บ้างก็เล่าว่า ระหว่างที่อโฟรไดท์ เร่งรีบจะไปช่วยชายคนรักเกิดโดนหนามกุหลาบ     เกี่ยวและเลือดที่รินไหลทำให้กุหลาบกลายเป็นสีแดง  และนั่นคือที่มาของกุหลาบแดงที่ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แทนความรัก


3.ดอกลิลลี่
     เมื่อเฮอร์คิวลิสถือกำเนิด ... เทพซูสก็อยากให้บุตรชายของตนมีพละกำลังแกร่งกล้ายิ่งขึ้น จึงได้นำมาที่เขาโอลิมปัส เพื่อจะได้ดื่มน้ำนมจากอกของมหาเทวีจูโน หรือ เฮร่า ... และเมื่อสบโอกาสตอนที่เฮร่าหลับ ซูส ก็นำเฮอร์คิวลิสมาตรงอกเฮร่าและก็ดูดนม ... แต่ด้วยความที่เฮอร์คิวลิสเป็นกึ่งเทพกึ่งมนุษย์ จึงมีพละกำลังมหาศาลอยู่แล้ว ... จึงดูดนมจากอกเฮร่าแรงไปหน่อย ... เฮร่าก็ตกใจตื่น ... และเหาะขึ้นไปบนฟ้า ...ระหว่างนั้น น้ำนมจากอกก็ไหลออกมาด้วย และไหลเป็นสายยาวตกลงสู่พื้นโลก ... และกลายเป็นดอกลิลลี่สีขาว ในที่สุด ... จากนั้น ดอกลิลลี่จึงได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลก



4.Forget me Not
       ตำนานของดอกForget me not มีมากมายนี่เป็นหนึ่งในตำนานที่ จขกท.นำมาให้อ่านค่ะ คำว่า “ Forget-Me-Not” แปลว่า อย่าลืมฉัน เป็นคำพูดสุดท้ายของผู้ชายคนหนึ่งก่อนที่ความตายจะมาพรากเขาไปจากสาวคนรัก หนุ่มคนนี้มีชีวิตอยู่ในประเทศฝรั่งเศสเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว เขาเป็นอัศวินผู้กล้าหาญ ซึ่งมีคนรักเป็นสาวงาม ครบสูตรคู่รักเฟอร์เฟ็คท์ของสมัยนั้น วันหนึ่งทั้งคู่ไปเดินเล่นริมแม่น้ำ บังเอิญสาวคนรักเหลือบไปเห็นดอกไม้แปลกหน้าสีม่วงเข้มสดใส ซึ่งไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ชูดอกงามอยู่ริมตลิ่ง เธอก็เลยขอร้องคนรักให้ลงไปเก็บให้ ซึ่งเขาก็ทำตามโดยดี แต่โชคร้ายที่ตลิ่งลื่นมาก และตัวเขาก็ใส่เสื้อเกราะเหล็กซึ่งหนักอึ้งอยู่ ชายหนุ่มก็เลยลื่นตกลงไปในแม่น้ำที่เชี่ยวกราก เขาพยายามตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด แต่เพราะน้ำหนักเสื้อทำให้เขาจมลงไปทุกที ชายหนุ่มรู้จุดจบของเขาคงจะมาถึงแน่แล้ว เขาจึงโยนดอกไม้ดอกงามขึ้นไปให้สาวคนรักและตะโกนบอกเธอเป็นประโยคสุดท้ายว่า “ Ne moubliez pas... อย่าลืมฉันนะที่รัก จากนั้นร่างของเขาก็จมลงหายไปในแม่น้ำ ดอก Forget Me Not ” (เป็นคำในภาษาอังกฤษแปลว่าอย่าลืมฉัน) จึงถูกตั้งให้เป็นตัวแทนของรักแท้ที่ไม่มีวันดับ เหมือนความรักของอัศวินหนุ่มกับสาวคนรักนั้นเอง


5.ดอกทานตะวัน
     ณ โบสถ์ในชนบทแห่งหนึ่งมีสาวงามผู้หนึ่งชื่อไคลธี่ เธอเป็นหญิงสาวที่มีความงดงามมาก แต่เพราะความงดงามนั้นบิดาของเธอจึงกักขังลูกสาวคนเดียวของตนไว้ในโบสถ์ ไคลธี่โดนกักขังในห้องหนึ่งซึ่งในห้องของเธอมีเพียงหน้าต่างบานหนึ่งที่สาดแสงอบอุ่นสีเหลืองเข้าภายในห้องของเธอ ไคลธี่ปราถนาที่จะได้เห็นที่มาของแสงนั้นมาก วันหนึ่งไคลธี่ตื่นขึ้นมาและได้พบว่าทหารยามไม่ได้อยู่เฝ้าไคลธี่จึงตัดสินใจออกจากห้องของเธอ ในขณะเดียวกันเทพอพอลโล(เทพแ่ห่งดวงอาทิตย์)ก็ได้ขึ้นรถม้าขี่ไปทั่วท้องฟ้าเพื่อให้ความสว่างและอบอุ่นแก่โลกของมนุษย์ ทันทีที่ไคลธี่ได้เห็นชายหนุ่มรูปงามที่ประทับอยู่บนรถม้าทำให้เธอตกหลุมรักเทพอพอลโลเข้าทันที  หลังจากวันนั้นไคลธี่ก็หนีออกมาจากห้องเธอทุกวันโดยไม่สนใจว่าตนเองจะโดนทำโทษหนักหนาสาหัสเพียงใด ในที่สุดไคลธี่ก็ตัดสินใจหนีออกจากบ้านด้วยความรักอันมั่นคงที่ตนมีต่อเทพอพอลโล ไคลธี่ได้อฐิษฐานกับทวยเทพทั้งหลายว่า ด้วยความรักที่นางมอบให้ชายคนหนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจตลอดมา หากเธอลับลาไปขอให้เธอได้เป็นทวยเทพแห่งผกา ที่ตั้งมั่นอยู่ตราบสิ้นแสงอัจจิมาตลอดกาล  หลังจากเจ้าหญิงไคลีสิ้นลม เรียวขาของเธอได้หยั่งรากลึกลงไปในพื้นพสุธา แขนและลำตัวก็กลับกลายเป็นลำต้นใบไม้เขียว ใบหน้าอันอ่อนหวานกลับกลายเป็นสีน้ำผึ้ง เส้นผมไหมสีทองของเธอกลับกลายเป็นกลีบดอกไม้สีเหลืองสดใส คอยแหงนมองเทพแห่งดวงอาทิตย์ไปทุกแห่งหนโดยไม่มีทางเหน็ดเหนื่อยและจะคอยหัน มองตลอดจนกว่าดวงอาทิตย์ของเธอจะลาลับจากคุ้งขอบฟ้า ด้วยความรักและความภักดีตลอดกาล

อ้างอิง  http://www.dek-d.com/board/view/2432223/




วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

10 ต้นไม้ต้องห้ามปลูกแล้วอาจดวงตก

10 ต้นไม้ต้องห้ามปลูกแล้วอาจดวงตก

หากช่วงนี้ใครกำลังมองหาต้นไม้มาแต่งสวนในบ้านเพื่อความร่มรื่นสวยงาม การเลือกพันธุ์ไม้ก็มีผลในทางฮวงจุ้ยเหมือนกัน เพราะหากเลือกต้นไม้ที่เป็นชื่อมงคลแล้วก็จะช่วยส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมีโชคลาภหรือความเจริญ แต่หากเป็นต้นไม้ที่มีชื่ออัปมงคลแล้ว อาจนำโชคร้ายมาสู่ผู้อยู่อาศัยได้ วันนี้เราจึงนำต้นไม้ที่มีชื่อไม่เป็นมงคล ไม่ควรปลูกไว้ภายในบ้านมาฝากชาวสนุก!ดูดวงทุกคนที่กำลังอยากแต่งสวนสวยๆ ด้วยไม้มงคลกันค่ะกัน 

10 ต้นไม้ปลูกแล้วดวงตก
  

1. ต้นรัก หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้นรักถึงไม่ควรปลูกไว้ในบ้านทั้งๆ ที่ชื่อก็ฟังน่าจะไปในทิศทางที่ดี แต่ตามความเชื่อโบราณเชื่อว่า ต้นรักจะทำให้ความรักยุ่งยากขึ้นและกลายเป็นคนมากรัก(เจ้าชู้) นอกจากนี้ ยางของต้นรักหากไปสัมผัสโดนเข้าอาจเป็นอันตรายต่อผิวหนังได้

2. ต้นมะละกอ จัดเป็นพืชล้มลุกที่มีชื่อไม่เป็นมงคลนัก บางคนเชื่อว่ามะละกอ เหมือนกับการแตกออกเป็นกอ หรือ "ละ" จากเผ่าจากกอ ส่งผลให้คนภายในบ้านไม่มีความสุข เพราะลูกหลานจะแตกแยกออกไปเป็นกลุ่มๆ มีความคิดที่ขัดแย้งกัน ทะเลาะเบาะแว้งจนหาความสุขไม่ได้ แต่ถ้าต้องการจะปลูกไว้รับประทาน ควรปลูกไว้ริมรั้วนอกบ้าน

3. ต้นระกำ จากชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าระกำช้ำชอก เพราะฉะนั้นโบราณจึงถือว่าต้นระกำนั้นไม่เป็นมงคล หากปลูกไว้ในบ้านจะนำความชอกช้ำ ระกำใจ มาให้อยู่ตลอดเวลา

4. ต้นชวนชม มีความหมาย 2 นัย ด้วยกัน ทั้งดีและไม่ดี หากมองในด้านดี การปลูกต้นชวนชมเอาไว้ในบ้านจะส่งผลให้มีผู้คนมาชื่นชม นิยมยกย่อง กลายเป็นที่รักของคนทั่วไป แต่หากมองในแง่ร้าย ต้นชวนชมจะชักชวนให้คนมาเชยชม จึงไม่เหมาะที่จะนำมาปลูกภายในบ้านที่มีลูกสาววัยแรกรุ่น เพราะอาจจะเป็นการชักนำหนุ่มๆ ให้เข้ามาหาลูกสาวได้ เป็นการปูทางให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียขึ้น นอกจากนี้ยางของต้นชวนชมค่อนข้างจะเป็นอันตราย หากไปสัมผัสโดนเข้า อาจเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน

5. ต้นมะรุม เป็นต้นไม้ที่มาตั้งแต่โบราณนิยมนำมาทำแกงส้ม ชื่อของต้นมะรุมจะไปคล้องจองกับคำว่า มะรุมมะตุ้ม ซึ่งจะมีแต่เรื่องไม่ดีมารุมกระหน่ำเข้ามาจนอยู่ไม่เป็นสุข

6. ต้นชบา เรามักจะเห็นหลายๆ บ้านปลูกต้นชบา เพราะสีสันของดอกที่สวยสะดุดตา ทำให้บ้านดูสวยงาม แต่ในสมัยโบราณ ไม่นิยมปลูกต้นชบาเอาไว้ในบริเวณบ้าน เพราะดอกชบานั้นมักถูกนำไปใช้ในเรื่องร้ายๆ อย่างเช่น นำดอกชบามาร้อยเป็นพวง แล้วนำไปสวมคอหญิง-ชาย ที่เป็นชู้ หรือลักลอบได้เสียกัน กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเล่นชู้ รวมทั้งนำพวงมาลัยดอกชบาไปสวมคอนักโทษที่กำลังจะถูกประหารอีกด้วย

7. ต้นโพธิ์ ไม่ใช่ต้นไม้อัปมงคล แต่ก็ไม่ควรนำมาปลูกในบ้าน เพราะเชื่อกันว่าต้นโพธิ์ เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เหมาะสำหรับปลูกตามวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากกว่า

8. ต้นงิ้ว ไม่ควรปลูกไว้ในบ้าน เพราะเป็นต้นไม้ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการมีชู้ แต่หากปลูกตามสถานที่ที่เป็นองค์กร อาคารสำนักงาน หรือสวนอาหารบางแห่ง ก็ไม่เป็นไร เพราะงิ้วเป็นต้นไม้สูงใหญ่และดูงามตา

9. ต้นเต่าร้าง เชื่อกันว่าหากสามีภรรยาคู่ใด ปลูกต้นเต่าร้างเอาไว้ในบ้าน อาจมีเรื่องต้องเลิกรากันไป เพราะชื่อของเต่าร้างแสดงความหมายไปในทางเลิกราหรือหย่าร้างกันอยู่แล้ว

10. ต้นนางแย้มป่า ห้ามปลูกต้นนางแย้มป่าในบ้านโดยเด็ดขาด ตามความเชื่อนางแย้มป่าเป็นต้นไม้ที่มีภูตผีปีศาจสิงอยู่ หากปลูกไว้ภายในบ้าน วันดีคืนดี ต้นนางแย้มป่าจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ ทำร้ายรังแกผู้คนในบ้านให้หวาดผวาเสียขวัญ หรือเจ็บไข้ได้ป่วย