ไม้ดอกที่น่าสนใจ
1.ทิวลิป
ทิวลิป
เป็นดอกไม้เมืองหนาวที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรป เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของฮอลแลนด์
มีอยู่หลายสี ดอกทิวลิปจะปลูกได้ต้องใช้อุณหภูมิที่เหมาะสม คือไม่เกิน 25
องศาเซลเซียส แม้ว่าทิวลิปจะเป็นดอกไม้ที่ทำให้นึกถึงฮอลแลนด์ แต่ทั้งดอกไม้และชื่อมีที่มาจากจักรวรรดิเปอร์เชีย
ทิวลิปหรือ “lale” เช่นเดียวกับที่เรียกกันในตุรกี
เป็นดอกไม้ท้องถิ่นของตุรกี, อิหร่าน, อัฟกานิสถาน
และบางส่วนของเอเชียกลาง
แม้ว่าจะไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้นำทิวลิปเข้ามาทางตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปแต่ที่สำคัญคือตุรกีเป็นผู้ทำให้ทิวลิปมีชื่อเสียงที่นั่น
เรื่องที่เป็นที่ยอมรับกันก็คือ Oghier Ghislain de Busbecqไปเป็นราชทูตของสมเด็จพระจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่
1
แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในราชสำนักของสุลต่านสุลัยมานมหาราชแห่งจักรวรรดิออตโตมันในปี
ค.ศ. 1554 Busbecq บรรยายในจดหมายถึงดอกไม้ต่างๆ
ที่เห็นที่รวมทั้งนาร์ซิสซัส ดอกไฮยาซินธ์
และทิวลิปที่ดูเหมือนจะบานในฤดูหนาวที่ดูเหมือนผิดฤดู (ดู Busbecq, qtd. in
Blunt, 7)
ในวรรณคดีเปอร์เชียทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ต่างก็ให้ความสนใจกับดอกไม้ชนิดนี้
คำว่า “tulip” ที่ในภาษาอังกฤษสมัยแรกเขียนเป็น “tulipa”
หรือ “tulipant” เข้ามาในภาษาอังกฤษจากฝรั่งเศสที่แผลงมาจากคำว่า
“tulipe” และจากคำโบราณว่า “tulipan” หรือจากภาษาลาตินสมัยใหม่
“tulpa” ที่มาจากภาษาตุรกี “tlbend” หรือ
“ผ้ามัสลิน” (ภาษาอังกฤษว่า
“turban” (ผ้าโพกหัว) บันทึกเป็นครั้งแรกในภาษาอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่
16 และอาจจะมาจากภาษาตุรกีอีกคำหนึ่งว่า “tlbend” ก็เป็นได้
2.ฟาแลนนอปซิสพันธุ์
การปลูกเลี้ยงฟาแลนนอปซิส
ฟาแลนนอปซิสเป็นกล้วยไม้ที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว
ใบค่อนข้างหนาซึ่งต้องระวังในเรื่องความชื้นที่มีมากไปก็จะทำให้ต้นและใบ
เน่าได้ง่าย สามารถปลูกลงกระถางโดยการปลูกจะต้องให้โคนต้นและรากส่วนบน อยู่เหนือเครื่องปลูกขึ้นมา
แต่อยู่ต่ำกว่าระดับขอบกระถาง
ซึ่งจะดูสวยงามและป้องกันไม่ให้โคนต้นและโคนใบได้รับความชื้นมากเกินไปจนทำให้เน่า
ฤดูที่เหมาะสมในการปลูกประมาณเดือนมีนาคม หรือก่อนเข้าฤดูฝน
เพราะถ้าปลูกหลังจากที่เข้าฤดูฝนแล้วอากาศมีความชื้นสูง
อาจทำให้กล้วยไม้อวบน้ำมากเกินไปจนเน่าได้ ดังนั้นจึงต้องควบคุมเรื่องน้ำและความชื้นค่อนข้างมาก
หรือบางคนอาจปลูกโดยให้ต้นกล้วยไม้เกาะตอไม้หรือกิ่งไม้ก็สามารถทำได้
ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดปัญหาน้ำฝนที่ตกลงมาขังในส่วนโคนต้นและใบได้
เพราะไม่มีเครื่องปลูกที่อมความชื้นไว้
น้ำที่ขังอยู่ที่ใบก็จะระเหยออกไปอย่างรวดเร็ว
ฟาแลนนอปซิสพันธุ์แท้จะมีดอกขนาดค่อนข้างเล็กจึงมีการปลูกเลี้ยงกันไม่มาก
แต่ปัจจุบันกล้วยไม้สกุลฟาแลนนอปซิส ได้มีการปรับปรุงและพัฒนาสายพันธุ์จนทำให้ได้ดอกที่สวยงาม
ทั้งรูปทรงและสีของดอก เช่น ดอกกลมใหญ่ กลีบดอกหนา
ดอกมีหลากหลายสีและมีลวดลายแปลกตา ฟาแลนนอปซิสมีดอกที่สวยงาม เลี้ยงง่าย โตเร็ว
อีกทั้งยังสามารถนำมาผสมพันธุ์ได้หลายหลายชนิด
ไม่ว่าจะเป็นลูกผสมในสกุลฟาแลนนอปซิสด้วยกัน หรือผสมกับสกุลอื่น เช่น สกุลม้าวิ่ง
(Doritis) สกุลแวนด้า (Vanda) สกุลรีแนนเธอรา
หรือสกุลแมลงปอ (Arachnis) และยังพัฒนาสายพันธุ์เพื่อผลิตเป็นการค้าได้อีก
สามารถนำดอกของฟาแลนนอปซิสมาเป็นดอกไม้ประดับแจกันหรือเป็นของขวัญในโอกาสสำคัญๆ
จึงทำให้มีผู้คนนิยมปลูกเป็นจำนวนมาก
3.บีโกเนีย
บีโกเนียเป็นพืชสกุลใหญ่ จึงแบ่งออกเป็นพวกๆ โดยอาศัยรูปร่างของส่วน
สะสมอาหารหรือรากเป็นหลักได้ดังนี้ คือ
1. บีโกเนียชนิดที่มีรากฝอย (Fibrous –
rooted begonia) มีใบสีเขียวและสีน้ำตาลเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อ
มีทั้งสีขาว สีชมพู สีแดง และสองสี เช่น ขาวขอบแดง
2. บีโกเนียชนิดที่มีเหง้า (Rhizomatous
begonia) ส่วนมากเป็นบีโกเนียที่ปลูกประดับใบ
ใบมีสีสวยมีหลายแบบ เช่น รูปใบกลม รูปหัวใจ มีกลีบดอกชั้นเดียว
3. บีโกเนียชนิดที่มีหัว (Tuberous
begonia) ดอกมีขนาดใหญ่ มีทั้งดอกชั้นเดียว และดอกซ้อน
ฤดูกาลออกดอก: ออกดอกตลอดปี การปลูก: ปลูกเป็นพืชคลุมดิน เป็นไม้กระถาง
หรือ ไม้ในภาชนะแขวนก็ได้ การดูแลรักษา: ดินที่ใช้ปลูกควรเป็นดินร่วนซุย
บริเวณที่มีแสงแดดรำไร รดน้ำปานกลาง อย่าให้แฉะ และควรรดปุ๋ยทางใบ ทุกๆ 2 สัปดาห์
ไม่ชอบอากาศหนาวเย็น
4.กุหลาบหนู
กุหลาบหนู เป็นกุหลาบที่มีความสวยงามน่ารักและสดใส เป็นไม้พุ่ม สูง 20 - 50
เซนติเมตร ลำต้นมีหนาม ใบประกอบออกสลับ ใบย่อย 5 ใบ เป็นรูปรี ขอบหยัก ปลายแหลม
โคงมน หูใบติดกับก้านใบ สีเขียวสด ดอก มีหลายสี เช่น สีแดง สีขาว สีชมพู
และดอกเดียว 2 สี ออกเป็นดอกเดี่ยวๆที่ปลายยอด กลีบดอกมีทั้ง ชั้นเดียวและหลายชั้น
มีกลีบดอกห้ากลีบ เกสรตัวผู้และตัวเมียแยกที่อยู่กัน ชนิดสองสี ปลาบกลีบดอก
เป้นสีแดง โคนกลีบดอกเป็นสีขาว เวลาออกดอกบานจะดูสวยงามสดใสมาก
ออกดอกตลอดทั้งปีกุหลาบหนูเป็นไม้กลางแจ้ง ปลูกได้ทั้งลงดินและปลูกลงกระถาง
เป็นไม้ชอบแดดจัด ไม่ชอบน้ำท่วมขัง ถ้าปลูกลงดินควรยกแปลงปลูกให้สูง
ปลูกในกระถางควรทำทางระบายน้ำใหัไหลดี ตั้งในที่ที่มีแดดส่อง
ถึงทั้งวันดินปลูกเพิ่มฟางแห้งหั่น ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก แกลบดำ แกลบดิบ คลุกให้เข้ากัน
จากนั้นนำต้นลง ปลูก กลบดินโคนต้นให้แน่น ใช้ฟางแห้งคลุมหน้าดินไว้
บำรุงปุ๋ยขี้วัวขี้ควายแห้งโรยตามหน้าดิน 15 วัน ครั้ง จะทำให้
โตเร็วและมีดอกสวยงาม
5.อาซาเลีย
อาซาเลียเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตอบอุ่นเป็นส่วนใหญ่
ถึงแม้ว่าจะมีบางส่วนที่อยู่ในเขตร้อน แต่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากและมีอากาศเย็นตลอดปี
จึงเป็นการยากที่จะทำการปลูกเลี้ยงในพื้นที่ราบที่มีอุณหภูมิสูง
แต่ก็มีบางพันธุ์ที่พอจะสามารถปรับตัวให้อยู่รอดและเจริญเติบโตผลิดอกได้ในสภาวะดังกล่าว
แต่อาจจะต้องมีการปรับสภาพแวดล้อม อุณหภูมิ ความชื้น ฯลฯ
เพื่อให้เอื้อต่อการเจริญเติบโตของอาซาเลีย
6.รักเร่
7.แกลดิโอลัส
แกลดิโอลัส (อังกฤษ: Gladiolus) จัดเป็นพืชหัว (Corm) เมื่อปลูกแล้วจะเกิดหัวใหม่ขึ้นแทนหัวเก่า
สามารถใช้ขยายพันธุ์ ได้ต่อไป และยังมีหัวย่อยเกิดขึ้นอีกมากมาย
ปัจจุบันนี้มีการผลิตหัวย่อยได้ผลดีที่ภาคเหนือของประเทศไทย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
1.แกลดิโอลัส แกรนดิฟลอรัส (Gladiolus
grandiflorus) เป็นชนิดต้นใหญ่ ช่อดอกอวบยาว และแข็งแรง
ดอกใหญ่เรียงชิดกัน ช่อดอกหนึ่ง ๆ อาจมีดอกถึง 20 ดอก และดอกบานพร้อมกันประมาณ 5-7
ดอก
2.แกลดิโอลัส พรายมูลินัส (Gladiolus
primulinus) เป็นชนิดต้นเล็ก ช่อดอกเล็กยาวเรียว
ดอกเล็กเรียงห่างกัน จำ นวนดอกในช่อน้อย มีลักษณะพิเศษคือ
กลีบบนชั้นในงุ้มงอปรกเกสร
3.แกลดิโอลัส ทูเบอเจนนิอาย (Gladiolus
tubergenii) เป็นชนิดที่ต้นและดอกเล็ก
แต่ดอกในช่อเรียงชิดกันใช้ในการผสมเพื่อผลิตแกลดิโอลัสพันธุ์ดอกจิ๋ว
4.แกลดิโอลัส โควิลลีอาย (Gladiolus
covillei) เป็นลูกผสมระหว่าง แกลดิโอลัส คาร์ดินาลิส (Gladiolus
cardinalis) ซึ่งเป็นชนิดที่มีต้นสูงใหญ่ ดอกสีแดง
กับแกลดิโอลัส ทริสติส (Gladiolus tristis) ซึ่งเป็นชนิดดอกเล็ก
สูงไม่เกิน 60 ซม. ใน 1 ช่อมีเพียง 2-4 ดอก มีสีขาวหรือครีม และมีสีม่วงหรือสีนํ้าตาลปนอยู่เป็นเส้น
5.แกลดิโอลัส นานุส (Gladiolus nanus) เป็นประเภทหนึ่งของพันธุ์โควิลลีอายที่ต้นมีขนาดเล็ก
ช่อดอกเล็กเรียวยาว ขนาดดอกเล็กบอบบาง มีสองสีในแต่ละกลีบจำ นวนดอกในช่อน้อยและ
ดอกจะบานพร้อมกันคราวหนึ่งเพียง 1-2 ดอก ในแต่ละช่อ
8.กุหลาบ
กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่มีการปลูกเป็นการค้ากันแพร่หลายทั่วโลกมานานแล้ว
กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่มีการซื้อขาย เป็นอันดับหนึ่งในตลาดประมูลอัลสเมีย
ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นตลาดประมูลไม้ดอก ที่ใหญ่ที่สุดของโลก เมื่อ พ.ศ. 2542
มีการซื้อขายถึง 1,672 ล้านดอก และมักจะมียอดขายสูงสุดในประเทศต่าง ๆ
เมื่อเปรียบเทียบกับไม้ดอกชนิดอื่น ๆ โดยประเทศที่ปลูกกุหลาบรายใหญ่ของโลกได้แก่
อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน สหรัฐอเมริกา โคลัมเบีย เอกวาดอร์ อิสราเอล เยอรมนี
เคนยา ซิมบับเว เบลเยียม ฝรั่งเศส เม็กซิโก แทนซาเนีย และมาลาวี เป็นต้น
กุหลาบสามารถจำแนกได้หลายแบบ เช่น จำแนกตามลักษณะการเจริญเติบโต ขนาดดอก
สีดอก ความสูงต้น และจำแนก ตามลักษณะของดอก เป็นต้น
ในที่นี้ได้จำแนกกุหลาบเฉพาะกุหลาบตัดดอกตามลักษณะการใช้ประโยชน์
ทางการค้าในตลาดโลกเป็น 5 ประเภทดังนี้
1.กุหลาบดอกใหญ่ หรือ กุหลาบก้านยาว (large
flowered or long stemmed roses
2.กุหลาบดอกกลาง หรือ กุหลาบก้านขนาดกลาง (medium
flowered or medium stemmed roses)
3.กุหลาบดอกเล็ก หรือ กุหลาบก้านสั้น (small
flowered or short stemmed roses) สด
4.กุหลาบดอกช่อ (spray roses) เป็นกุหลาบชนิดใหม่
ให้ผลผลิตต่ำต่อพื้นที่ (120-160 ดอกต่อตารางเมตรต่อปี) ความยาวก้านระหว่าง 40-70
ซม. มักมี 4-5 ดอกในหนึ่งช่อ และยังมีตลาดจำกัดอยู่ เช่นพันธุ์ เอวีลีน (Evelien:
ชมพู) เดียดีม (Diadeem: ชมพู) และ นิกิต้า (Nikita: แดง)
เป็นต้น
5.กุหลาบหนู (miniature roses) มีขนาดเล็กหรือแคระโดยธรรมชาติ
ความสูงของทรงพุ่มไม่เกิน 1 ฟุตให้ผลผลิตสูง 450-550 ดอก/ตร.ม./ปี
มีความยาวก้านดอกระหว่าง 20-30 ซม. ยังมีตลาดจำกัดอยู่ยกเว้นในประเทศญี่ปุ่น
แอฟริกาใต้ และอิตาลี
9.ชบา
ชบา (อังกฤษ: Hibiscus เสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /h??b?sk?s/[2])
หรือ “Hibiscus” ประกอบด้วยพืชที่เรียกชื่อเดียวกัน
แต่บางครั้งก็เรียกว่า “rosemallow” หรือ “jamaica” ชบามีด้วยกันราว
200 ถึง 230 สปีชีส์ ที่เป็นพืชดอกของวงศ์Malvaceae ชอบอากาศอุ่นในกึ่งเขตร้อนและเขตร้อนทั่วโลก
ไม้ตระกูลนี้รวมทั้งพืชปีเดียวและพืชยืนต้น เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดย่อม
ลักษณะทั่วไป ชบาในบ้านเรารู้จักกันมานานแล้ว
จะเห็นได้จากบ้านคนสมัยก่อนจะมีชบายอยู่แทบทุกบ้านปัจจุบันชบาได้รับการผสมพันธุ์เพื่อให้ได้พันธุ์ใหม่ออกมามากมาย
ซึ่งล้วนแต่สวย ๆ งาม ๆทั้งนั้น
ทำให้ได้ดอกของชบาที่มีรูปร่างสวยงามสีสันของดอกสดใส ขบานั้นจัดเป็นไม้พุ่ม
ความสูงดดยทั่วไปประมาณ 2.50 เมตร ใบมีสีเขียวเข้ม มนรี ปลายใบแหลม
แต่ปัจจุบันก็ยังมีพันธุ์ แตกต่างออกไปอีกมากมาย
10.พุดตาน
อ้างอิง https://sites.google.com/site/satrinakhonsawan/mi-dxk/midxk
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น